วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ซื้อคอนแทคให้เหมาะกับบุคคลิกภาพ

0 ความคิดเห็น
สวัสดีจ้าเดี๋ยวนี้ถ้าใครอยากตาโตบ้องแบ๊วล่ะก็เป็นที่รู้กันว่าจะต้องใช้ "คอนแทคเลนส์บิ๊กอาย" เป็นตัวช่วย ใช่ไหมล่ะคะ แน่นอนว่าเรื่องของความสะอาดและปลอดภัยนั้นย่อมเป็นประเด็นหลักที่ทุกคนจะนึกถึงเวลาที่จะต้องซื้อคอนแทคเลนส์ รองมาก็คือเรื่องของราคาและก็ยี่ห้อต่างๆ




แต่วันนี้ "เคล็ดลับช้อปปิ้ง" จะชวนเพื่อนๆ มาเลือกคอนแทคเลนส์ให้เข้ากับสีผิวและบุคลิกของตัวเองกันค่ะ เพิ่มรูปภาพ

>>> ถ้าผิว ผม และสีดวงตาของเพื่อนๆ เป็นสีธรรมชาติเป็นสีโทนเย็น, สีโทนแดง , สีน้ำเงิน เพื่อนๆ อาจจะเลือกคอนแทคเลนส์สีโทนอุ่น เช่น สีน้ำตาลอ่อน
>>> หรือถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่มีผิวขาว เพื่อนๆ อาจจะเลือกคอนแทคเลนส์ที่มีสีโทนอุ่น เช่น น้ำตาลอ่อน สีฟ้า เขียว ก็ได้นะคะ
>>> แต่ถ้าน้องๆ มีผิวสีแทน เพื่อนๆ ควรจะเลือกคอนแทคเลนส์ที่มีสีโทนสว่าง เช่น เทา เขียว น้ำตาลอ่อน จะทำให้ใบหน้าของเพื่อนๆ ดูโดดเด่นขึ้นค่ะ
เคล็ดลับช้อปปิ้ง : ซื้อคอนแทคให้เหมาะกับบุคลิก
>>> และถ้าเพื่อนๆ เป็นคนที่ใช้เครื่องสำอางกับดวงตา (เช่น อายแชโดว์ มาสคาร่า) ให้เพื่อนๆ เลือกคอนแทคเลนส์สีที่เด่นกว่าสีของอายแชโดว์และมาสคาร่าบนดวงตา เพราะจะทำให้เห็นสีของคอนแทคเลนส์ที่เราใส่ได้ชัดค่ะ ในทางกลับกันถ้าเพื่อนๆ เลือกคอนแทคเลนส์ที่มีสีอ่อนกว่าสีของอายแชโดว์และมาสคาร่าบนดวงตา ก็จะทำให้คอนแทคเลนส์ที่เพื่อนๆ ใส่นั้นดูดรอปลงไปอย่างทันทีเลยล่ะค่ะ
>>> ส่วนเพื่อนๆ ที่เป็นคนขี้อายหรือต้องการให้ดูเป็นธรรมชาติล่ะก็ ถ้าสีตาโดยธรรมชาติของเพื่อนๆ เป็นสีดำหรือน้ำตาลอยู่แล้ว เพื่อนๆ อาจจะเลือกคอนแทคเลนส์ในสีเทา หรือสีน้ำตาลอ่อน (Hazel)
>>> ส่วนเพื่อนๆ ที่มีตาสีฟ้า ทางเลือกอื่นๆ ในการเพิ่มความโดดเด่นให้กับดวงตา(ซึ่งจริงๆ แล้วตาสีฟ้าก็ดูโดดเด่นอยู่แล้ว) สามารถทำได้โดยใช้คอนแทคเลนส์ที่มีสีเข้มมากเพื่อเน้นม่านตาของตาเพื่อนๆ ค่ะ
เคล็ดลับช้อปปิ้ง : ซื้อคอนแทคให้เหมาะกับบุคลิก




และสิ่งที่มือใหม่หัดใช้คอนแทคเลนส์ต้องคำนึงถึงและปฏิบัติเสมอก็คือ
- ควรลองใส่คอนแทคเลนส์ชนิดนั้นๆ ดูก่อนว่ามีอาการระคายเคืองหรือเปล่า
- ควรถอดคอนแทคเลนส์ออกมาล้างทุกครั้ง
- ห้ามใส่คอนแทคเลนส์เวลานอนเด็ดขาด (ขอเตือนว่าอันตรายมาก)
- ห้ามแช่คอนแทคเลนส์โดยไม่ได้ล้างก่อน
- ห้ามใส่คอนแทคเลนส์เกินอายุการใช้งานที่ระบุไว้
- เมื่อใส่คอนแทคเลนส์แล้วเกิดอาการระคายเคือง มีเส้นแดงๆ ปวดตา ฯลฯ ควรรีบพบแพทย์โดยทันที



เมื่อทราบวิธีการเลือกคอนแทคเลนส์มาให้เหมาะกับบุคลิกของน้องๆ กันไปแล้ว ทีนี้ถ้าจะเลือกซื้อคอนแทคเลนส์ในครั้งต่อไป ก็อย่าลืมนำเทคนิคนี้ไปใช้ด้วยนะคะ น้องๆ จะได้เลือกคอนแทคเลนส์ได้สีสวยถูกใจยังไงล่ะ

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

การดูแลรักษาผิวหน้า ง่าย ๆ ที่บ้าน

0 ความคิดเห็น
การดูแลผิวหน้าแบบง่าย ๆ ที่บ้าน
เอนไซม์มะละกอผลัดผิว











การใช้เอนไซม์จากมะละกอช่วยเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวหน้า การพอกมะละกอบดละเอียดบนผิวหน้าในระหว่างอบไอน้ำจะช่วยทำให้หน้าขาว ใส ยิ่งขึ้น การเตรียมก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร นำมะละกอสุกมาบดละเอียด ในขณะที่เตรียมน้ำเดือดเพื่ออบไอน้ำผิวหน้าเมื่อน้ำพร้อมแล้ว ให้ทามะละกอสุกบนใบหน้า โดยหลีกเลี่ยงรอบดวงตา ต่อจากนั้นจึงอังหน้ากับชามอ่างภายใต้ผ้าขนหนูตามวิธีการอบไอน้ำผิวหน้าได้เลย




โทนเนอร์น้ำผลไม้

หลังจากล้างหน้าแล้ว ตามขั้นตอนจะต้องเช็ดหน้าด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกระชับรูขุมขน และปรับสภาพ pH ของผิวหน้า หากเบื่อใช้โทนเนอร์ที่มีขายตามท้องตลาด ผักและผลไม้นั้นมีวิตามินและเอนไซม์ซึ่งช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนเสมอกันทั่วใบหน้าและช่วยขัดผิวได้ วิธีการทำก็ไม่ได้ยากเช่นกัน ให้นำผลไม้ที่ชอบ โดยอาจเลือกจากสรรพคุณของผลไม้ นำผลไม้มาประมาณ 50 กรัมต่อครั้ง ล้าง เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก แล้วปั่นด้วยเครื่องปั่นหรือบดให้ละเอียด เติมน้ำกลั่นบริสุทธิ์ลงไปประมาณ 25 มิลลิตร ทิ้งไว้สักครู่หนึ่ง แล้วจึงใช้ผ้าขาวบางกรองแยกกากออกไป เก็บแต่น้ำไว้ใช้ ข้อควรระวังคือ ต้องทำความสะอาดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในการทำโทนเนอร์น้ำผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นชาม เครื่องปั่น มีด ผ้าขาวบาง หรือแม้กระทั่งมือตัวเองให้สะอาด มิเช่นนั้นโทนเนอร์น้ำผลไม้ที่ได้ แทนที่จะช่วยทำความสะอาดผิวอาจจะทำให้ผิวเกิดความระคายเคืองเนื่องจากสิ่งสกปรกตกค้างจากภาชนะเหล่านั้น




สรรพคุณของผลไม้แต่ละประเภท

1. ว่านหางจระเข้ บำรุงผิว สำหรับทุกสภาพผิว
2. แตงกวา ปรับสภาพผิว เหมาะสำหรับผิวมัน
3. ฝรั่ง ขัดผิว มีส่วนผสมของกรด AHA
4. ตะไคร้ ทำความสะอาดผิว สำหรับทุกสภาพผิว
5. สับปะรด ขัดผิว มีส่วนผสมของ AHA
6. มะขาม ขัดผิว ช่วยให้ผิวขาว เหมาะสำหรับผิวมัน

ไพล และ ผงลูกจันทน์เทศ ขัดผิว
ส่วนผสมประกอบด้วย

  • ไพลสด 1 ช้อนโต๊ะ
  • ผงลูกจันทน์เทศ 1 ช้อนชา ตัวขัดผิวนี้มีส่วนผสมของไพล ซึ่งคนไทยถือว่าเป็นยาครอบจักรวาลสำหรับผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นและบำรุงผิว เหมาะสำหรับทุกสภาพผิว เมื่อขัดเสร็จแล้วผิวจะมีกลิ่นเผ็ดร้อนนิดๆ ล้างไพลให้สะอาด เช็ดให้แห้ง ปอกเปลือก ปั่นด้วยเครื่องปั่น จากนั้นเทผงลูกจันทน์เทศลงไป คลุกเคล้าจนเข้ากัน ทาลงบนใบหน้าและขัดเบาๆจนทั่วหน้า ล้างออกด้วยน้ำอุ่น
น้ำผึ้ง และ แตงกวา ขัดผิว

ส่วนผสมประกอบไปด้วย

  • น้ำผึ้ง 8 ออนซ์
  • น้ำมะนาวคั้น 10 หยด
  • แตงกวา ฝานเป็นแผ่นบางๆ น้ำผึ้งทำให้ผิวนุ่มขึ้น ช่วยลดความระคายเคืองของผิว และบรรเทาอาการอักเสบ ในขณะเดียวกันน้ำมะนาวช่วยในกระบวนการผลัดผิว ล้างหน้าให้สะอาด ผสมน้ำผึ้งกับน้ำมะนาวเข้าด้วยกัน ทาลงบนใบหน้าแล้วนวด 15 นาที หลังจากนั้นใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดออก เมื่อเสร็จขั้นตอนแรกแล้วให้วางแผ่นแตงกวาบนใบหน้าและลำคอ แตงกวาจะช่วยดูดซับสิ่งสกปรกที่ตกค้างออก ช่วยให้ผิวเย็นและตึง และเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก เช็ดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆอีกครั้ง

ขมิ้นพอกผิว

ส่วนผสมประกอบด้วย

  • ขมิ้นสด 10 กรัม
  • ถั่วเหลือง 15 กรัม ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่คนไทยรู้จักมีกคุ้นเป็นอย่างดีมีสรรพคุณลดอาการอักเสบและสมานผิว ส่วนถั่วเหลืองมีเอสโตรเจน โปรเจสเตอโรน และไฟโตเอสโตรเจน ที่ช่วยทำให้ผิวขาวและนุ่มขึ้น วิธีการเตรียม ให้นำขมิ้นมาล้างและปอกเปลือกออกปั่นให้ละเอียด หากเป็นสมัยปู่ยาตาทวดเราใช้ครกกับสากบดซึ่งกินเวลานานเกินไป ไม่ทันใจสาวสมัยใหม่ ปัจจุบันใช้เครื่องปั่นจะสะดวกกว่า เมื่อปั่นขมิ้นเสร็จแล้วให้พักไว้ นำถั่วเหลืองไปล้างโดยแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที ปั่นแล้วนำมาผสมกับขมิ้นคลุกเคล้าให้เข้ากัน ทาทิ้งไว้บนใบหน้าประมาณ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

คืนความอ่อนเยาว์ให้กับผิวด้วยกล้วย

ส่วนผสมประกอบด้วย

  • กล้วยสุก ผลขนาดกลาง 2 ผล
  • Wheat germ oil ½ ช้อนชา
  • น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา
  • น้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ 2 หยด ตัวพอกหน้านี้อุดมไปด้วยวิตามิน เหมาะสำหรับฟื้นฟูสภาพผิว และทำให้ผิวสดชื่นหลังจากวันอันเหนื่อยล้า กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินเอและโพแทสเซียม ส่วนน้ำมันหอมระเหยกลิ่นดอกมะลิ ช่วยปรับสภาพผิว ลดเลือนรอบแผลเป็น และน้ำผึ้ง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและบำรุงผิว ปั่นกล้วยแล้วใส่ส่วนผสมที่เหลือทั้งหมดลงไปคลุกเคล้าเข้าด้วยกัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว ล้างหน้าให้สะอาด เช็ดด้วนโทนเนอร์ จากนั้นจึงทาตัว พอกลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่นและเช็ดด้วยโทนเนอร์อีกครั้งเพื่อกำจัดตัวพอกที่ตกค้างอยู่ออกให้หมด
น้ำผึ้งและส้มกระชับผิวหน้าส่วนผสมประกอบไปด้วย

  • ส้มหรือส้มจีน 1 ชิ้น
  • น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

  • น้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ 1 หยด เป็นตัวพอกหน้าที่ช่วยให้ผิวนุ่มและสดใสขึ้น ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง เป็นตัวพอกหน้าที่อ่อนโยนต่อผิวสามารถทำได้บ่อยครั้ง เพื่อปรับปรุงสภาพผิวและช่วยให้จุดด่างดำจางลง บิส้มให้น้ำส้มออกมา ถูส้มให้ทั่วใบหน้า กรดผลไม้ในส้มช่วยทำความสะอาดผิวและเพิ่มความชุ่มชื่นให้กับผิว เมื่อทั่วแล้วให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าชุบน้ำเปียกหมาดๆเช็ดออกเบาๆ เมื่อเสร้จขั้นตอนแรกแล้ว ผสมน้ำผึ้งเข้ากับน้ำมันหอมระเหยดอกลาเวนเดอร์ และทาลงบนใบหน้า นวดเบาๆทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น


กล้วยและอะโวคาโดพอกหน้าสำหรับผิวแห้ง

ส่วนผสมประกอบไปด้วย

  • กล้วยสุกผลเล็ก 1 ผล
  • อะโวคาโดสุกผลเล็ก 1 ผล
  • โยเกิร์ตเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันวิตามินอี 2 หยด ผลลัพธ์ที่ได้จาก treatment นี้ คือ หน้าลื่น เรียบเนียน และมีกลิ่นหอม บดกล้วยและอะโวคาโดเข้าด้วยกันจนข้นและมีสีเขียวผสมโยเกิร์ตและน้ำมันวิตามินอีลงไป แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เมื่อเตรียมตัวพอกเสร็จแล้ว ล้างหน้าและอบไอน้ำผิวหน้าเพื่อให้รูขุมขนเปิด หลังจากนั้นจึงทาตัวพอกลงบนใบหน้านวดและทิ้งไว้ 15 นาที ล้างออกด้วยน้ำอุ่น

ทีนี้คุณก็มีสูตรขัด พอกครบถ้วน อีกทั้งเป็นสูตรที่ไม่ยากเย็นอีกต่างหาก สุดท้ายหน้าจะใสหรือไม่ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าจะมีเวลาในการทำ treatment อย่างสม่ำเสมอหรือไม่ การดูแลผิวพรรณด้วยผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติแบบนี้ ต้องอาศัยเวลาและความอดทนค่ะ แต่รับรองได้ว่าผลที่ได้คุ้มค่าแน่นอนต่อการรอคอย

มาถนอมสายตากันเถอะ

0 ความคิดเห็น
เชื่อว่าคนทำงานต้องหนีไม่พ้นการใช้สายตาจับจ้องจอคอมพิวเตอร์เนื่องจากต้องตรวจเอกสารซึ่งบางฉบับตัวหนังสือก็เล็กนิดเดียว จึงไม่แปลกเลยที่สายตาของหลายๆ คนจะเริ่มมีปัญหา บ้างสายตาก็สั้นขึ้น บ้างก็ยาวขึ้น

เชื่อว่าคนทำงานต้องหนีไม่พ้นการใช้สายตาจับจ้องจอคอมพิวเตอร์จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวันกันเลยทีเดียว ต่างกันก็แค่ใครจะใช้คอมพิวเตอร์นานกว่าเท่านั้นเอง บางคนยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เนื่องจากต้องตรวจเอกสารซึ่งบางฉบับตัวหนังสือก็เล็กนิดเดียว จึงไม่แปลกเลยที่สายตาของหลายๆ คนจะเริ่มมีปัญหา บ้างสายตาก็สั้นขึ้น บ้างก็ยาวขึ้น นอกจากนี้ บางคนทำงานแล้วเครียดมากๆ ยิ่งส่งผลให้ประสาทตาทำงานหนักเข้าไปอีก ทำให้เกิดอาการปวดหัว แถมปวดเมื่อยตามตัว อย่างไรก็ตาม เราคงปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานที่จะต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นการพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจสายตาทุก 1-2 ปีจึงเป็นเรื่องจำเป็นมาก แต่กว่าคุณจะมีเวลาไปพบแพทย์ เรามีคำแนะนำเล็กน้อยมาฝาก เพื่อช่วยถนอมสายตาคุณให้ดีไปนานๆ ดังนี้


  • รับประทานผัก ผลไม้มากๆ โดยเฉพาะผักพวกที่มีใบสีเขียวเข้ม เช่น ผักคะน้า ผักโขม

  • หากจ้องจอคอมพิวเตอร์นานๆ อ่านหนังสือ หรือใช้สายตาทำงานหนัก ให้หมั่นพักสายตาเป็นระยะๆ
    ควรสวมแว่นตากันแดดที่สามารถกรองแสงจ้าได้ 75-90% และป้องกันรังสี UV-A หรือUV-B ได้ 99-100% จะช่วยป้องกันไม่ให้เป็นต้อกระจก แต่ไม่ควรสวมแว่นตาตอนค่ำๆ หรือในที่ร่ม เพราะจะทำให้ตาต้องทำงานหนักกว่าปกติในการปรับให้รับแสง

  • หากใส่คอนแทคเลนส์ แล้วเกิดอาการคัน ระคายเคืองตา ให้ใช้น้ำตาเทียมหยอดตา หรืออาจเปลี่ยนมาใช้คอนแทคเลนส์ชนิดรายวัน เพื่อลดอาการแพ้ที่จะเกิด

  • หากคุณเคืองตาบ่อยๆ จากการมองแสงสะท้อน ก็ควรปรึกษาจักษุแพทย์ เพื่อแนะนำเลนส์แว่นที่สามารถลดแสงสะท้อนเหล่านี้ไม่ให้แยงตามากไป หรืออาจติดตั้งโคมไฟในบ้านให้มากขึ้น หรือหลอดไฟที่มีกำลังวัตต์สูงๆ เพื่อช่วยกำจัดลำแสงสะท้อนที่มาจากไฟดวงอื่น

  • ผู้สูงอายุมักมองเห็นจุดเล็กๆ ลอยหรือแสงวาบ จากประสาทตาที่เสื่อมไปตามอายุ แต่ในบางกรณีอาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น จอตาผิดปกติจากโรคเบาหวาน อาการเริ่มแรกของความผิดปกติของเรตินา เป็นต้น ดังนั้นไม่ควรนิ่งนอนใจ รีบปรึกษาแพทย์ทันที

ตาเป็นอวัยวะที่สำคัญมากส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะหากเรามองไม่เห็นก็คงทำกิจกรรมต่างๆ ได้ลำบาก ดังนั้นเพื่อความไม่ประมาท เราควรไปตรวจเช็คสายตาเป็นประจำทุกปี เพื่อตาคู่สวยจะได้ทำหน้าที่ของมันอย่างดีไปตลอดชีวิตของคุณ

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เรื่องน่ารู้ของไทย

0 ความคิดเห็น


วันนี้เรา มาดูเกี่ยวกับประเทศไทยของเรากันบ้างนะคะ ประเทศไทยเนี่ยยังมีสิ่งที่เพื่อน ๆ ไม่รู้อีกเยอะเลยนะคะ วันนี้ก็เลยหามาฝากกันนะคะ อยากรู้กันแร้วใช่ไหมละคะ ไปกันเรย..



ในสมัยเด็กๆ หลายคนอาจจะต้องท่องจำว่า ใครคือนายกรัฐมนตรีคนแรกของไทย แบบเรียนเล่มแรกของไทยชื่ออะไร ใครเป็นผู้แต่งเพลงสรรเสริญพระบารมี ฯลฯ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ แม้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลายคนก็ยังจำได้อยู่ แต่หลายคนก็อาจจะลืมเลือน ดังนั้น เพื่อเป็นการทบทวนความจำ ทั้งความรู้เก่าและเกร็ดความรู้ใหม่ ที่บางคนอาจจะไม่เคยทราบมาก่อนเกี่ยวกับประเทศไทย กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำสาระบางส่วนจากหนังสือ “ความรู้รอบตัว รอบรู้เรื่องเมืองไทย” ของฝ่ายวิชาการชมรมเด็ก ซึ่งจัดพิมพ์โดยสุวีริยาสาส์น มาเพื่อเสนอดังต่อไปนี้



แบบเรียนเล่มแรกของไทย




บบเรียนเล่มแรกของไทยชื่อ “จินดามณี” แต่งโดย พระมหาราชครู กวีในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (ครองราชย์ปี พ.ศ. 2199 - 2231)
ถนนสายแรกในเมืองไทย




ถนนสายแรกในเมืองไทย คือ ถนนเจริญกรุง (New Road) สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อ พ.ศ. 2404 โดยต่อมาได้มีการตัดถนนบำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร รวมทั้งถนนพระราม 4 และถนนสีลมในเขตชานพระนคร


น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก
น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรก ในสมัยรัชกาลที่ 4 ประมาณ พ.ศ. 2410 สันนิษฐานว่า ผลิตที่สิงคโปร์แล้วส่งมาถวาย โดยใส่หีบกลบขี้เลื่อย คนเฒ่าคนแก่ในสมัยนั้น ไม่เชื่อว่าจะทำน้ำแข็งได้จริง ถึงกับออกปากว่า “จะปั้นน้ำเป็นตัวได้อย่างไร”

พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรกที่เสด็จประพาสต่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่เสด็จประพาสต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์เป็นแห่งแรก เมื่อปี พ.ศ. 2413 และเสด็จชวาด้วย



ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี
ผู้ที่ประพันธ์เพลงสรรเสริญพระบารมี คือ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ โดยมีนายปโยตร์ ซูโรฟสกี้ (Pyotr Shchurovsky) ชาวรัสเซีย แต่งทำนองเพลงขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2431

ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย
ธนบัตรหรือเงินกระดาษของไทย ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ผลิตขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 พิมพ์ออกใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ.2445 โดยก่อนหน้านั้น ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้มีการผลิตธนบัตร หรือเงินกระดาษออกใช้เป็นครั้งแรก ในเมืองไทยแล้ว เมื่อปี พ.ศ. 2396 แต่เรียกว่า “หมาย” ทำด้วยกระดาษปอนด์สีขาวรูปสี่เหลี่ยม พิมพ์ลวดลายด้วยหมึกทั้งสองด้าน และประทับตรา พระราชลัญจกรประจำแผ่นดิน ตราจักร และพระราชลัญจกรประจำรัชกาลสีแดงชาด (ลัญจกร อ่านว่า ลัน-จะ-กอน แปลว่า ตราสำหรับใช้ตีหรือประทับ ราชาศัพท์ใช้คำว่า พระราชลัญจกร)
ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย
ผู้ที่คิดออกลอตเตอรี่เป็นคนแรกในเมืองไทย คือ มิสเตอร์เฮนรี่ อาลบาสเตอร์ (ต้นตระกูล “เศวตศิลา”) ชนชาติอังกฤษ เป็นผู้นำลักษณะการออกรางวัลสลากแบบยุโรปมาเผยแพร่เป็นคนแรก โดยเรียกว่า “ลอตเตอรี่” โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้กรมทหารมหาดเล็กออกลอตเตอรี่เป็นครั้งแรกในประเทศไทย เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๗ เนื่องในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา



คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน
คนไทยคนแรกที่ได้ขึ้นเครื่องบิน คือ พระบรมวงศ์เธอ กรมพระยากำแพงเพ็ชรอัครโยธิน โดยประทับเครื่องบินออร์วิลไรท์ คู่กับกัปตัน มร.เวนเดนเปอร์น ซึ่งขับวนเวียนเหนือสนามราชกรีฑาสโมสร เป็นเวลา 3 นาที 45 วินาที เมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2453 เป็นเครื่องบินที่บริษัทฝรั่งเศสนำมาแสดง ณ ราชกรีฑาสโมสร(สนามม้านางเลิ้ง) ซึ่งถือว่าเป็นสนามบินแห่งแรก ที่ใช้ในการบินของเมืองไทยด้วย
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศ
พระมหากษัตริย์ไทยพระองค์แรก ที่ทรงผ่านการศึกษาจากต่างประเทศคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เสด็จไปศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่เมื่อครั้งทรงยังดำรงพระอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เมื่อปี พ.ศ. 2436 - 2445 รวมระยะเวลา 9 ปี
นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน
นามสกุลหมายเลข 1 ที่รัชกาลที่ 6 ทรงคิดพระราชทาน คือ นามสกุล “สุขุม” พระราชทานเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ.2456 ต้นสกุลคือ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม)



ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก
ผู้ที่ให้กำเนิดรถแท็กซี่ขึ้นในประเทศไทยครั้งแรก คือ พลโท พระยาเทพหัสดิน (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) เป็นรถยนต์นั่ง (รถเก๋ง) ยี่ห้อออสติน จำนวน 4 คัน เปิดบริการรับจ้างครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2466 ในสมัยรัชกาลที่ 6 ในสมัยนั้นเรียกว่า “รถไมล์”
ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรก
ประเทศไทยเริ่มนับเวลา ตามแบบสากลครั้งแรกในสมัย รัชกาลที่ 6 โดยแต่เดิมเรานับเวลาตอนกลางวันเป็น “โมง” และตอนกลางคืนเป็น “ทุ่ม” พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงให้เปลี่ยนมาเรียกว่า “นาฬิกา” (เขียนย่อว่า “น.”) และให้นับเวลาทางราชการใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับธรรมเนียมสากลนิยม โดยให้ถือว่าเวลาหลังเที่ยงคืนเป็นเวลาเปลี่ยนวันใหม่ และให้ถือเวลาที่ตำบลกรีนิช ประเทศอังกฤษเป็นมาตรฐาน ซึ่งเวลาในประเทศไทย เป็นเวลาก่อนหรือเร็วกว่าเวลาที่กรีนิช 7 ชม. เช่น ไทยเป็นเวลา 19.00 น. ทางกรีนิชเท่ากับ 12.00 น. เป็นต้น
ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก
ผู้ที่ประดิษฐ์เครื่องพิมพ์ดีดภาษาไทยเครื่องแรก คือ มิสเตอร์เอ็ดวิน แมกพาแลนด์ ยี่ห้อเรมิงตัน
นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย
นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย คือ พระยามโนปกรณนิติธาดา (ก้อน หุตะสิงห์) เข้าดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2475 - 20 มิถุนายน พ.ศ.2476 ส่วนนายกรัฐมนตรีคนแรก ที่ถูกบังคับให้ออกจากตำแหน่งคือ นายควง อภัยวงศ์ หลังจากที่เข้าดำรงตำแหน่งได้ประมาณ 1 เดือนเศษ ในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2491 ได้ถูกคณะนายทหารเข้าพบ เพื่อขอร้องแกมบังคับ ให้ลาออกจากตำแหน่ง ทั้งนี้เพื่อเปิดทางให้กับจอมพลป. พิบูลสงคราม กลับเข้าเป็นนายกรัฐมนตรี สมัยที่ 3



ยศสูงสุดของทหารไทย
ยศสูงสุดของทหารไทย คือ ยศจอมพล แต่ปัจจุบันไม่มีการแต่งตั้งแล้ว ยศสูงสุดทางทหารในปัจจุบันคือ “พลเอก” ผู้ที่เป็นจอมพลคนแรกของไทยคือ จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภานุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นต้นสกุล “ภาณุพันธุ์” ส่วนจอมพลคนแรกในระบอบประชาธิปไตย คือ จอมพลป. พิบูลสงคราม และคนสุดท้าย ที่ดำรงตำแหน่งจอมพลในระบอบประชาธิปไตยคือ จอมพลประภาส จารุเสถียร เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ.2516 (สำหรับพระมหากษัตริย์ จะทรงดำรงตำแหน่ง “จอมทัพไทย”)
ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน
ผู้ประพันธ์เพลงชาติไทยในปัจจุบัน คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยากร) เป็นผู้แต่งทำนอง และหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) เป็นผู้แต่งเนื้อร้อง เมื่อ พ.ศ. 2483
ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย
ผู้ที่คิดฝนเทียม หรือ ฝนหลวง ขึ้นเป็นครั้งแรกในเมืองไทย คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช โดยได้ทรงค้นคิดและวิจัยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2498 และทรงถ่ายทอดแนวพระราชดำริ และผลการวิจัยแก่ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล วิศวกรผู้เชี่ยวชาญทางการเกษตร จนมีการทำฝนหลวงพระราชทานครั้งแรก ในปีพ.ศ. 2512
มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก
มกุฎราชกุมารพระองค์แรก ที่ทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนเสนาธิการทหารบก คือ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร

สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย
สมเด็จเจ้าฟ้าพระองค์แรก ที่สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของประเทศไทย คือ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยทรงจบอักษรศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับ 1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเมื่อปี พ.ศ. 2519
คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ
คนไทยคนแรก ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานสมัชชาใหญ่ แห่งสหประชาชาติ คือ พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2499
ผู้นำไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ
ผู้นำไทยคนแรก ที่ได้รับรางวัลแมกไซไซ คือนายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 18 ของไทย ได้รับในสาขางานบริการภาครัฐบาล ประจำปี พ.ศ.
2540






วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อบไอน้ำผิวหน้าสวยได้

0 ความคิดเห็น





สวัสดี เพื่อน ๆ ใครที่อยากจอบไอน้ำให้ใบหน้าแต่ไม่รู้จะยังไง มีวิธีดี ๆ มาฝากกันคะ






การอบ ไอน้ำให้ใบหน้า จะช่วยขจัดสิ่งอุดตันภายในรูขุมขน แก้ปัญหาสิวเสี้ยน ทำสัปดาห์ละครั้งจะกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ช่วยให้ผิวหน้าสะอาดใสและดูเปล่งปลั่ง เอาละมานเข้าสู่วิธีการทำให้ใบหน้าเราสดใสกันได้แล้วนะคะ...








ขั้นตอนที่ 1 เตรียมน้ำเดือดจัดใส่ชาม ทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที เพื่อให้อุณหภูมิลดลงเหลือประมาณ 80 องศาเซลเซียส ใส่น้ำมะนาวครึ่งผลหรือชาคาโมมายล์ครึ่งถ้วย อาจใส่เอสเซนเชียลออยล์กลิ่นที่ชอบประมาณ 2 หยด เพื่อความผ่อนคลาย



ขั้นตอนที่ 2 อังหน้าเหนือชามประมาณ 20 เซนติเมตร นาน 10 นาที สำหรับคนที่มีปัญหาเส้นเลือดฝอยที่ผิวหน้าให้ลดเวลาลงเหลือ 5 นาที



ขั้นตอนที่ 3 นั่งพักหน้าประมาณ 1 นาที แล้วใช้ผ้าชุบน้ำเย็นซับหน้าเพื่อกระชับรูขุมขน



รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าจะอบไอน้ำให้ใบหน้า ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้นะคะ